มีการตีพิมพ์ข่าวการพบศิลาจารึกที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดหลักหนึ่ง
รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม พบจากบทความคอลัมน์มรดกลาว
ในนิตยสารท่องเที่ยวเมืองลาว ฉบับที่ 26 เดือนกรกฎาคม-กันยายน ค.ศ.2005
นิตยสารประจำสายการบินลาว ซึ่งบุนมี เทบสีเมือง ผู้เขียนบทความดังกล่าวว่า
*ศิลาจารึกดังกล่าวสร้างขึ้นเมื่อ ร.ศ.532 ตรงกับ ค.ศ.1713*
จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า ศิลาจารึกดังกล่าวสร้างขึ้นใน ร.ศ.532 จริงหรือไม่
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
เท่ากับศิลาจารึกหลักดังกล่าวเก่ากว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง 113 ปี
เพื่อแสวงหาคำตอบดังกล่าว สมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ
และคณะนักวิชาการด้านโบราณคดีไทย
ได้เดินทางไปเยือนหลวงพระบางเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ไปยังวัดวิชุน
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของศิลาจารึกหลักดังกล่าว พร้อมกับร่วมพบปะ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันกับคณะกรรมการสมาคมลาว-ไทยเพื่อมิตรภาพ
และนักวิชาการลาว ทั้งนี้ วัดวิชุน หรือ วัดวิชุนนะลาด
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนนวิชุนราช
สร้างขึ้นเมื่อ จ.ศ.874 หรือ ค.ศ.1512 (พ.ศ.2055) โดยพระเจ้าวิชุนราช
ซึ่งเป็นกษัตริย์แผ่นดินล้านช้างเมื่อ จ.ศ.863
เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ
สิมหลังเก่านั้นสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบลาวเดิมสมัยอาณาจักรลาวล้านช้างยุคต้นคริสต์ศตวรรษ
ที่ 14 มีขนาดยาว 36 เมตร กว้าง 18 เมตร ด้านตรงข้ามของสิมเป็น
"พระธาตุหมากโม" ทรงโอคว่ำคล้ายแตงโมผ่าครึ่ง พระนางพันตินะเชียงเบด
พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชโปรดฯ ให้สร้างขึ้นหลังจากสร้างวัดแล้ว 11
ปี ถือเป็นพระธาตุสำคัญองค์หนึ่งเช่นเดียวกับพระธาตุหลวงในเวียงจัน
พระธาตุพนมในประเทศไทย พระธาตุชเวดากองในย่างกุ้ง พระธาตุพุทธคยาในอินเดีย
ฯลฯ ค.ศ.1888
โจรฮ่อเข้ามารื้อทำลายเพื่อนำเอาของมีค่าที่ประดับอยู่บนยอดช่อฟ้าของสิมและ
ยอดพระธาตุหมากโม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณวัด หลังจากนั้น
พระเจ้าสักรินทร์ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ โปรดฯ
ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ตามแบบเดิมในปี ค.ศ.1894
เมื่อแล้วเสร็จนักปราชญ์ลาวและฝรั่งเศสได้ตกลงกันให้รวบรวมเอาโบราณวัตถุและ
ศิลาจารึกตามบริเวณวัดร้าง
วัดเก่าแก่ทั้งหลายที่ไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดีมาเก็บไว้ที่สิมวัดวิชุน
เพื่อป้องกันการถูกทำลายหรือสูญหาย
ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ยังมีการปฎิสังขรณ์อีกครั้ง
ครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด
พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน พระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้ว
เช่นเดียวกับพระแก้วมรกต ฯลฯ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบาง
หรือพิพิธภัณฑ์เจ้ามหาชีวิต ทุกวันนี้วัดวิชุนเป็นอีกวัดหนึ่ง
ที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเยี่ยมชม สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด
นอกเหนือจากวัดเชียงทอง สัญลักษณ์ของเมืองหลวงพระบาง โดยเสียค่าตั๋วคนละ
10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท ด้านหน้าสิมจึงมีของที่ระลึกไว้จำหน่าย เช่น
โปสการ์ด ตุ๊กตาปู่เยอย่าเยอ ฯลฯ
ภายในสิมวัดวิชุนมีศิลาจารึกประดิษฐานอยู่ทั้งหมด 6 หลัก เป็นจารึกอักษรลาว
4 หลัก อักษรธรรม 2 หลัก
ทั้งหมดตั้งอยู่บนแท่นไม้เรียงกันเป็นแถวทางด้านซ้ายของพระประธาน บุนมี
นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีลาว เจ้าของบทความชิ้นดังกล่าว
เล่าถึงที่มาของการพบศิลาจารึกหลักนี้ว่า เมื่อสงกรานต์ ค.ศ.2001
ได้มาเยี่ยมลูกสาวและลูกเขยซึ่งอยู่ที่บ้านวิชุน
เมื่อมีโอกาสจึงเข้าวัดทำบุญ และได้พบศิลาจารึกดังกล่าว
"ปีแรกที่มาได้ถ่ายรูปกลับไปศึกษา เพราะอ่านไม่ออก ผมเข้าห้องสมุดไปค้นคว้า
ปี 2002 มาใหม่แล้วเขียนรายงานให้กรมพิพิธภัณฑ์และวัตถุโบราณทราบ
ตอนหลังผมมาศึกษาอีก แต่ไม่แน่ใจเรื่องตัวเลข เพราะอย่างเลข 2 ของลาว
หางจะชี้ขึ้น แต่ในศิลาจารึกหางชี้ลง จนได้มาเห็นจารึกไทยสมัยอยุธยา เลข 2
หางเป็นแบบนี้จึงสรุปได้" บุนมีเล่าต่อไปว่า
จารึกหลักนี้พบที่ไหนไม่มีใครทราบ
เพราะเมื่อครั้งที่ขอมเข้ามาตีได้เผาทำลายหมด
ภายหลังเมื่อมีการปฏิสังขรณ์วัดนี้แล้ว
ฝรั่งเศสได้ให้รวบรวมศิลาจารึกจากวัดต่างๆ มาเก็บรักษาไว้ที่วัดนี้
ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยอยู่ที่นี่มา 60 ปี
ก็ว่าตั้งแต่มาอยู่ก็เห็นศิลาจารึกนี้แล้ว
*ปัจจุบันแม้ว่ากรมพิพิธภัณฑ์และวัตถุโบราณ
ซึ่งเทียบเท่ากับกรมศิลปากรของไทยได้มาศึกษาศิลาจารึกหลักนี้
และขึ้นทะเบียนไว้แล้ว เพื่อไม่ให้หาย แต่ไม่เกี่ยวกับการอ่าน
เพราะอ่านก็ไม่เข้าใจ จึงไม่ค่อยมีคนสนใจ*
นอกเหนือจากความเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเศษเสี้ยวหนึ่งของ
ประวัติศาสตร์ลาวแล้ว
ศิลาจารึกหลักดังกล่าวยังช่วยจุดประกายให้นักวิชาการทั้งไทยและลาวได้หัน
หน้าเข้ามาศึกษา แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน บุนมี
ซึ่งสนใจค้นคว้าเอกสารที่ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ในดินแดนแถบนี้
ไม่ว่าจะจากใบลาน จากศิลาจารึก หรือหนังสือตามห้องสมุดในต่างประเทศ เช่น
ที่ฮานอย ซึ่งมีห้องสมุดใหญ่ถึง 2 แห่ง สำหรับเก็บเอกสารโบราณๆ ไว้มากมาย
เล่าว่า "การอ่านประวัติศาสตร์ต้องนึกถึงศูนย์กลางของเรื่องว่าคืออะไร
ต้องเล็งจุดนั้น ผมเองบางทีอ่านแล้วก็ปวดหัวเหมือนกัน
แต่เฮาก็ต้องดูว่าได้ความรู้อะไรจากมันในแง่ประวัติศาสตร์ หรือศิลปะ
โบราณคดี อย่าแต่คิดว่าเรื่องของเทวดาเอาน้ำเต้าปุงมาให้ นี่ไม่มีหรอก
เพราะนี่เป็นกุศโลบายเอาเทพนิยายมาเขียนเพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์"
ตำนานเรื่องขุนบรม
ซึ่งฝ่ายลาวเชื่อว่าเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าวิชุนราชจึงมีขึ้น
เป็นกุศโลบายเพื่อให้เกิดความสามัคคีในสมัยนั้นซึ่งเป็นช่วงปลดปล่อยทาส
บุนมีเล่าต่อไปว่า
ในลาวมีนักวิชาการที่สนใจศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์เหล่านี้มากเหมือนกัน
เพียงแต่ยังไม่มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม
ใครไปศึกษาเอกสารที่ไหนกลับมาจะมีการบันทึกไว้
ทำให้ผู้อื่นได้รับความรู้นั้นไปด้วย และใช้ในการต่อยอด
ตีความเพื่อความเข้าใจต่อไป "เอกสารของฝรั่งเศสที่ได้จากหอสมุดในเมืองฮานอย
ประเทศเวียดนาม บันทึกไว้ตามคำบอกเล่าของพ่อค้าจีนว่า
ได้มาค้าขายที่อาณาจักรฟูเลียว (ฟู คือ เมือง, เลียว คือ ลาว)
หรือเมืองวันตัน คือเวียงจัน เมื่อ ค.ศ.705-706 ได้บรรยายว่า
อาณาจักรฟูเลียวกว้างใหญ่ ทิศเหนือติดหนองแส ทิศใต้ติดฟูนัน
ศิลาจารึกบางหลักว่า ค.ศ.431 เวลานั้นอาณาจักรฟูเลียวมีอักษรใช้แล้ว
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 มีศิลาจารึกเป็นอักษรลาว
อาณาจักรศรีโคตรบูรครองความเป็นอาณาจักรมายาวนานจนถึงศตวรรษที่ 17
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บุกรุกเข้ามาจึงเสียเอกราช
จึงมั่นใจว่าพวกเฮาเป็นเจ้าของที่นี่ บ่ได้มาจากทางเหนือ" บุนมี
กล่าวอย่างหนักแน่น "ผมตั้งข้อสังเกตว่าคนทางเหนือที่มา อย่าง พวกไทดำ
ไทแดง ผู้ไท เชียงใหม่ มาจากอาณาจักรไทย-ลาว การออกเสียงแตกต่างกัน อย่าง
ตัว พ เพิ่นว่า ป เฮาว่า "พ่อแม่" เพิ่นว่า "ป้อแม่" เฮาว่า "สิบสองพันนา"
เพิ่นว่า "สิบสองปันนา" ภาษามันแตกต่างกัน ลาวอีสาน
ลาวภาคกลางหรือเวียงจันพูดเหมือนกัน ล้านช้างก็พูดเหมือนกัน
เรียกพ่อเรียกแม่เหมือนกัน ประเพณีการฝังศพก็เหมือนกัน" ขณะที่ รศ.ศรีศักร
นักวิชาการมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ให้ความเห็นว่า
การเดินทางมาวัดวิชุนครั้งนี้ไม่ได้สนใจว่าศิลาจารึกลาวจะเป็นของเก่าหรือ
ของใหม่
แต่ข้อความข้างในนั้นให้ความหมายมากกว่าเพราะบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญคือ การศึกษาศิลาจารึกนี้เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ของลาวโดยลาวเอง
ไม่ได้เดินตามฝรั่ง ส่วนเรื่องจุลศักราชจริงหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกต้องมาคุยกัน อีกประการคือ
เราไม่ทราบที่มาของศิลาจารึก ต้องสำรวจรอบๆ
หลวงพระบางว่ามีแหล่งโบราณสถานใดที่มีอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 คือประมาณ
1,700 ปีก่อน "ไทย-ลาว เป็นตระกูลภาษาเดียวกันในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์
ซึ่งเป็นมอญ เขมร หรือตะเลง ปรากฏในภูมิภาคที่เป็นสุวรรณภูมิ
ต่างก็สร้างบ้านแปงเมืองมาด้วยกัน ท่านบุนมีมองว่า
กลุ่มที่อยู่ตรงกลางแต่เดิมคือ มอญ-เขมร กลุ่มที่เคลื่อนเข้ามาคือ ไทย-ลาว
ลาว-ไทย เข้ามาและมาพบหลักฐานอันหนึ่งคือ "อาณาจักรศรีโคตรบูร"
ถัดออกไปเป็นกลุ่ม "ฟูนัน" ที่อยู่ริมทะเล และถัดมาเป็นเขมร
ความเห็นตรงกันที่ว่ากลุ่มไทย-ลาว ลาว-ไทยเข้ามาทางอีสาน
มาตั้งเป็นอาณาจักรที่เรียกว่า "ศรีโคตรบูร
ตำนานอุรังคธาตุก็สร้างขึ้นในยุคนี้
"พุทธศาสนาของหลวงพระบางไม่ได้มาจากสุโขทัยหรือล้านนา
แต่มาจากศรีโคตรบูรเก่า ซึ่งอาจจะเป็นคนไทย-ลาวที่เข้ามาเมื่อแรกๆ
คนเหล่านี้นับถือพุทธศาสนา
ซึ่งหลักฐานของพุทธศาสนาที่สำคัญก็ยังอยู่ที่เวียงจันทน์
คือพระพุทธรูปหินสลักที่วังช้าง เป็นปางเทศนา ซึ่งเราไม่พบที่ประเทศไทย
และเห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือคนพื้นเมือง เป็นการยืนยันถึงความเป็นพุทธเถรวาท
และเก่ากว่าเขมร ส่วนหลวงพระบางเป็นเขตเศรษฐกิจทางชายแดนของเวียงจันทน์
ความเจริญของหลวงพระบางมาจากเวียงจันทน์ สมัยพระเจ้าวิชุนราชสำคัญมาก
พบศิลปะคล้ายอู่ทอง
และพระพุทธรูปที่พบที่วัดวิชุนก็เป็นแบบศรีโคตรบูรทั้งสิ้น
มีหลายสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจแล้วจะพบว่าการเคลื่อนเข้ามาของชาวไทย-ลาวใน
ดินแดนเขตนี้มาเมื่อไร" ศิลาจารึกไทย หรือศิลาจารึกลาว
ของใครจะเก่ากว่ากันนั้นไม่ใช่ประเด็น
เพราะจะประเทศไทยหรือประเทศลาวก็คือกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน
การเดินทางไปเยี่ยมยามวัดวิชุน ที่หลวงพระบางครั้งนี้
จึงนับเป็นนิมิตหมายอันดีของการเปิดประตูพรมแดนทางการศึกษาด้านประวัติ
ศาสตร์โบราณคดีของสองประเทศ
ອ້າງອິງມາຈາກ
ອ້າງອິງມາຈາກ
No comments:
Post a Comment